![]() |
นอกจากนักบริหารที่ดีจะต้องมีคุณลักษณะทั้งสามประการดังกล่าวมาแล้ว
สไตล์หรือวิธีการบริหารก็เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความสำเร็จหรือความล้มเหลวในการบริหาร
นักบริหารที่มีคุณลักษณะทั้งสามประการอาจใช้วิธีบริหารงานที่ตนเคยชิน
วิธีการบริหารต่าง ๆ พอสรุปได้เป็น ๓ ประการ ตามนัยแห่ง อธิปไตยสูตร๓ ดังนี้
|
๑)
อัตตาธิปไตย หมายถึง
การถือตนเองเป็นใหญ่นักบริหารที่เป็นอัตตาธิปไตย
ถือตนเองเป็นศูนย์กลางของการตัดสินใจ เขาเชื่อมั่นตนเองสูงมาก
คิดว่าตัวเองฉลาดว่าใคร จึงไม่รับฟังความคิดเห็นของใคร
เขาไม่อดทนต่อการวิพากษ์วิจารณ์เขานิยมใช้พระเดชมากกว่าพระคุณ เมื่อบริหารงานนานๆ
ไป จะไม่มีคนกล้าคัดค้านหรือทัดทาน ลงท้ายนักบริหารประเภทนี้มักเป็นเผด็จการ
วิธีการบริหารแบบนี้ทำให้ ได้งานแต่เสียคน นั่นคือ
งานเสร็จเร็วทันใจนักบริหาร แต่ไม่ถูกใจคนร่วมงาน เขาผูกใจคนไม่ได้
เขาได้ความสำเร็จของงาน แต่เสียเรื่องการครองใจคน
|
๒) โลกาธิปไตย หมายถึง การถือคนอื่นเป็นใหญ่
นักบริหารประเภทนี้มีวิธีทำงานที่ตรงกันข้ามกับประเภทแรกนั่นคือ
นักบริหารโลกาธิปไตยไม่มีจุดยืนเป็นของตัวเอง เขาขาดความเชื่อมั่นในตนเอง
ไม่สามารถตัดสินใจอะไร ถ้านั่งเป็นประธานอยู่ในที่ประชุม เขาจะฟังทุกฝ่ายก็จริง
แต่เมื่อฝ่ายต่างๆ พูดขัดแย้งกัน เขาจะไม่ตัดสินชี้ขาด
แต่เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายทุ่มเถียง ทะเลาะกันเอง ใครเสนอความคิดอะไรมา
เขาเห็นคล้อยตามด้วยจนไม่ย่อมตัดสินใจเด็ดขาดลงไปว่า ฝ่ายไหนถูกหรือผิด
ในที่สุดลูกน้องต้องวิ่งเต้นเข้าหานักบริหารประเภทนี้อยู่เรื่อยไป
ผลลงเอยด้วยลูกน้องตีกันเอง
เพราะนักบริหารไม่ยอมวินิจฉัยชี้ขาดว่าจะทำตามข้อเสนอของใคร
นักบริหารประเภทนี้ได้คนแต่เสียงาน นั่นคือ ทุกคนชอบเขา เพราะเขาเป็นคนอ่อนผู้ไม่เคยตำหนิใคร
ลูกน้องจะทำงานหรือทิ้งงานก็ได้ เขาไม่กล้าลงโทษ เขาสุภาพกับทุกคน
แต่องค์การวุ่นวายไร้ระเบียบ และไม่มีผลงาน
|
๓) ธรรมาธิปไตย
หมายถึง การถือธรรมหลักการเป็นสำคัญ
และยึดเอาความสำเร็จของงานเป็นที่ตั้ง เพื่อทำงานให้สำเร็จ
เขายินดีรับฟังคำแนะนำจากทุกฝ่าย ซึ่งรวมทั้งคนที่ไม่ชอบเขาเป็นส่วนตัว
เขาแยกเรื่องงานออกจากความขัดแย้งส่วนตัว เขายอมโง่เพื่อศึกษาความรู้
จากผู้เชี่ยวชาญ ดังที่ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์
(ติสฺสมหาเถร) นิพนธ์ไว้ว่า
|
![]() |
ทางชีวิตจะรุ่งโรจน์โสตถิผล
|
ต้องรู้โง่รู้ฉลาดปราดเปรื่องตน
|
โง่สิบหนดีกว่าเบ่งเก่งเดี๋ยวเดียว
|
นักบริหารประเภทนี้เดินทางสายกลาง คือใช้ทั้งพระเดชและพระคุณ
ใครทำดีต้องให้รางวัล ใครทำชั่วต้องลงโทษ
ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า
|
![]() |
กำราบคนที่ควรกำราบ
|
ปคฺคณฺเห
ปคฺคหารหํ
|
ยกย่องคนที่ควรยกย่อง๔
|
การบริหารเช่นนี้ทำให้ได้ทั้งคนและงาน นั่นคือ
งานสำเร็จเพราะทุกคนมีโอกาสแสดงความสามารถ
นักบริหารจะเปิดโอกาสให้คนที่ตนไม่ชอบได้ทำงานด้วย ถ้าเขาคนนั้นมีฝีมือ
ดังกรณีของพระเดชพระคุณ พระธรรมมหาวีรานุวัตร เจ้าอาวาสวัดไร่ขิงรูปปัจจุบัน
ใช้ทุกฝ่ายทำงานให้ท่านซึ่งรวมถึงกลุ่มคนที่วิพากษ์วิจารณ์ท่าน ท่านกล่าวว่า
"ใครจะด่าว่าเราบ้างก็ไม่เป็นไร
ข้อสำคัญขอให้เขาทำงานให้เราก็แล้วกัน"
|
![]() |
วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2556
การบริหารงาน
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น